Van Cleef & Arpels ร่วมแสดงผลงาน THE ROC HER AUX MERVEILLES ในการจัดนิทรรศการ “เลอค่ารัตนชาติ” ณ กรุงปารีส
เนื่องในการจัดนิทรรศการ “เลอค่ารัตนชาติ” หรือ “Pierres précieuses” ระหว่างวันที่ 16 กันยายน 2020 จนถึง 14 มิถุนายนที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งชาติ (Muséum national d’Histoire naturelle) ณ กรุงปารีส Van Cleef & Arpels ได้นำผลงานอันทรงเอกลักษณ์ ซึ่งสรรค์สร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับโอกาสสำคัญครั้งนี้มาร่วมจัดแสดง “ผาศิลามหัศจรรย์” หรือ Rocher aux merveilles (โรแชร โอซ์ แมรเวยซ์) คือ บทสะท้อนถึงแนวคิดการจัดนิทรรศการพลอยดิบในรูปแบบของหินหยาบถูกนำมาจัดวางเคียงข้างกับบรรดาผลงานสร้างสรรค์ทั้งเก้าภายในเวทีการจัดแสดงสุดล้ำค่าผลงานอันหล่อหลอมขึ้นจากจินตนาการ และทักษะความชำนาญของมนุษยชาติถ่ายทอดทัศนียภาพสุดวิจิตรแห่งดินแดนในฝัน ถิ่นฐานที่อยู่ของมวลพฤกษาและสิงสาราสัตว์ในเทพนิยายครั้งนี้ ถือเป็นบทบรรจบระหว่างศิลปะแห่งการสรรค์สร้างเครื่องประดับอัญมณีชั้นสูงกับศาสตร์หินแร่วิทยาในการจุดประกายพิศวง อัศจรรย์ใจ ปลุกจินตนาการ บันดาลความรื่นรมย์อย่างแท้จริง
AN OBJECT AT THE CROSSROADS OF JEWELRY AND MINERALOGY

“ผาศิลามหัศจรรย์ Rocher aux merveilles คือบทสรุปเนื้อหาของนิทรรศการ “เลอค่ารัตนชาติ” ด้วยการผสมผสานองค์ประกอบต่างๆ ในศาสตร์ว่าด้วยหินแร่วิทยา เข้ากับไหวพริบ ความชำนาญทางการผลิตเครื่องประดับอัญมณี มิติที่ถูกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทั้งสองนี้ กลับเหมือนกันอย่างยิ่งในเรื่องของการสร้างความหลงใหล ควรค่าต่อการสะกดความรู้สึก และช่างกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับอาณาจักรของเมซง ดินแดนแห่งการสรรค์สร้างเรื่องราวอันเปี่ยมเสน่ห์ จรรโลงสุนทรียรมณ์” นิโคลาส บอส ประธานและซีอีโอแห่ง Van Cleef & Arpels กล่าว

ภูผาหินพลอยสมุทรลาพิซ ลาซูลิ ผงาดตัวขึ้นมาจากที่ราบผลึกควอร์ตซ์ขาวลายริ้วหินอ่อนสีฟ้าสดราวกับ อยู่ในความฝัน ในส่วนของเชิงเขาท่ามกลางพงไพรพลอยรุ้งทุรมาลีคือตัวคิเมียรา เจ้าของกายารัตนชาติหมอบร่างกางปีกอย่างยิ่งยงคอยปกปักษ์ขุมทรัพย์ล้ำค่าสำคัญอันได้แก่ธำมรงค์หัวพลอยรุ้งสองสี ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ยูนิคอร์นกับสองนางฟ้า ซึ่งอาศัยอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้เช่นเดียวกัน กำลังพักกายอยู่ในวงล้อมของมวลพฤกษาที่กำลังผลิบานรับความสดชื่นจากละอองเพชรสลับไพลินที่กระเซ็นมาจากธารน้ำตกไหลริน ความวิจิตรตระการตาของทัศนียภาพแดนฝันดุจจำลองฉากในเทพนิยาย และมหากาพย์ยุคบาโรก อย่าง ออร์แลนโด ฟูริโอโซ Orlando Furioso บทกวีซึ่งรจนาขึ้นโดย ลูโอวิโก อาริออสโต แห่งนี้ จึงหาได้ต่างอะไรจากจุดบรรจบ ระหว่างอาณาจักรรัตนชาติเลอค่าและโลกแห่งจินตนิยาย ซึ่งเป็นพลังขับเคลื่อนการใช้ความคิดสร้างสรรค์ของ Van Cleef & Arpels อยู่ตลอดเวลา
นับแต่ก่อตั้ง เมซงมีความละเอียดอ่อนอย่างสูงในการถ่ายทอดความประทับใจต่อเรื่องราวมหัศจรรย์ และความวิจิตรบรรจงในจินตนิยายชวนฝันผ่านผลงานสร้างสรรค์อันหลากหลาย ซึ่งหลายครั้งได้กลายเป็นอีกหนึ่งอาณาจักรสถานสถิตของบรรดาทวยเทพ และมวลนางฟ้ากับสิงสาราสัตว์ในเทวตำนาน เช่นเดียวกันกับสวนรุกขชาติสุดวิจิตรบรรจง เพื่อสืบสานความเป็นนิรันดร์ให้แก่ศิลปะการรังสรรค์ความรื่นรมย์ อันเป็นที่รักยิ่งของเมซง

ผาศิลา Rocher aux merveilles ยังเป็นบทสะท้อนถึงอีกผลงาน ซึ่งได้รับการนำมาจัดแสดงในนิทรรศการ นั่นก็คือ “ต้นทุรมาลี” L’Arbre aux tourmalines (ลาร์เบรอะ โอซ์ ทูรมาลีนส์) ของฌอง ว็องโดม ต้นไม้ซึ่งถูกประดิษฐ์ขึ้นจากลำต้นโลหะล้ำค่าประดับใบทำจากแผ่นพลอยรุ้งสีเขียว และสีชมพูราสพ์เบอร์รีร่วมกับ อัญมณีหลากสีชนิดอื่นๆ อันแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ทรงเอกลักษณณ์ของนักวิชาการผู้หลงใหลในศาสตร์แห่งหินแร่วิทยาเสียจนได้รับการยกย่องให้เป็นผู้บุกเบิกแนวทางศิลปะเครื่องประดับอัญมณีร่วมสมัย

HOMAGE TO THE BEAUTY OF STONES
ผลงานอันประกอบขึ้นจากพลอยดิบในรูปแบบของหินหยาบ และหินขัดผิว รวมถึงบรรดาเครื่องประดับอัญมณีที่สามารถปลดออกได้นี้ถูกออกแบบขึ้นเพื่อเป็นประติมากรรมหินแร่ ซึ่งแต่ละชิ้นส่วนอันล้วนมีความเป็นเอกเทศในตัวกลับสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน เฉกเช่นระบบพหุชีวิตในธรรมชาติสตูดิโอออกแบบแผนก รัตนชาติและห้องผลิตงานของ Van Cleef & Arpels ที่จัตุรัสว็องโดม ต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อให้กำเนิดผลงานชิ้นนี้ ต้องใช้เวลาเกือบสองปีกว่าจะทำให้ศิลปวัตถุชิ้นนี้ปรากฏขึ้นดุจมีชีวิต เพื่ออยู่ร่วมกับผลงานสร้างสรรค์อีกเก้าชิ้น ทันทีที่งานออกแบบนี้ถูกเลือกจากแผ่นร่างนำเสนอผลงานหลายชิ้น ทีมนักอัญมณศาสตร์ต่างรีบรุดเสาะหาวัตถุเลอค่าอันตรงตามมาตรฐานระดับสูงสุดเคร่งครัดของศิลปะเครื่องประดับชั้นสูง ทั้งในส่วนของพลอยดิบ และรัตนชาติซึ่งผ่านการเจียระไนแล้ว
“เราเลือกพลอยดิบในรูปแบบของหินหยาบเหล่านี้มาจากบรรดาตัวเลือกนับหลายร้อย หินพลอยเหล่านี้มีคุณภาพสูงมากเสียจนเราสามารถนำมาตัดเจียน และเจียระไนไปทำเครื่อง ประดับอัญมณีชั้นสูงได้อย่างดี เรายืนกรานที่จะใช้พลอยดิบคุณภาพสูงเทียบเท่ารัตนชาติซึ่งผ่านการเจียระไนหน้าตัด และเหลี่ยมมุมแล้ว” ทีมนักอัญมณศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญจาก Van Cleef & Arpels

หัวใจของโครงสร้างภูผามหัศจรรย์ Rocher aux merveilles นี้อยู่ที่ผลึกหินหยาบของพลอยดิบของลาพิซ ลาซูลิ หรือพลอยน้ำสมุทรขนาด 6.2 กิโลกรัม ซึ่งถูกเลือกมาจากรูปทรง และพื้นผิวอันเต็มไปด้วยความขรุขระ เต็มไปด้วยเหลี่ยมมุมที่ปราศจากความสม่ำเสมอเฉกเช่นที่จะเห็นได้ตามสัณฐานของขุนเขาศิลาอันสูงชัน ในขณะ เดียวกันก็สะกดทุกสายตาด้วยสีฟ้าสดจรัสประกายโดยเนื้อแท้ การนำมาใช้งานในรูปแบบของหินหยาบ ไร้การเจียระไนใดๆ ด้วยรูปลักษณ์ดั้งเดิมตามที่ธรรมชาติได้จรรโลงไว้ ทำให้ผลงานวัตถุนี้มีเอกลักษณ์ในเชิงคุณภาพอย่างโดดเด่น ส่วนแท่งหินควอร์ตซ์ขนาด 13 กิโลกรัมในสภาพ “กึ่งหยาบ” เพราะถูกตัด และขัดผิวเฉพาะบางส่วนให้เรียบพอจะเป็นแท่นฐานรองรับเขาหินพลอยทะเลก้อนนี้ได้อย่างมั่นคง
จากนั้น ผลึกพลอยรุ้งทุรมาลี หรือทัวร์มาลีนสามสิบสองเม็ดน้ำหนักรวม 2,171 กะรัต ก็ถูกนำมาจัดวางเป็นป่าหินจำแลงทอประกายสุกใสเจิดจ้าตัดกับฐานพสุธาที่รองรับ ตามกระบวนการวิจัยอันซับซ้อน เหล่านักทำเครื่องประดับได้คิดค้น และออกแบบวิธีการยึดตัวทุรมาลีเหล่านี้ ให้ติดกับแผ่นผาลาพิซ ลาซูลิและผลึกควอร์ตซ์อย่างแน่นหนาในขณะเดียวกันก็ต้องมั่นใจได้ว่าแต่ละองค์ประกอบยังคงสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
รัตนชาติซึ่งผ่านการเจียระไน และขัดผิวสำหรับใช้ตกแต่งเครื่องประดับทั้งหลาย ได้รับการฝังขึ้นตัวเรือนด้วยวิธีการแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการฝังปิด, ฝังกึ่งหุ้ม, งานฝังหนีบ, เขี้ยวหนามเตย ตลอดจนการฝังสอดรางเรียวแถวแบบพรมหิมะ “แซรติ แนช” (serti neige) ความหลากหลายทางเทคนิคเช่นนี้ ได้ช่วยทวีความงดงามให้มวลรัตนชาติ พร้อมกับเติมประกายสว่างสดใส มีชีวิตชีวาให้แก่เครื่องประดับแต่ละชิ้น

TECHNICAL CHALLENGE, COLLECTIVE PROJECT
ในฐานะผลงานศิลปะวัตถุอันทรงเอกลักษณ์ อีกทั้งยังต้องรองรับบรรดาเครื่องประดับซึ่งพลิกแพลง ดัดแปลงวิธีสวมใส่ได้ถึงเก้าชิ้น อัศจรรย์บรรพต Rocher aux merveilles ถือเป็นโจทย์ท้าทายความสามารถของทีมผู้ชำนาญแขนงต่างๆ ประจำเมซง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในส่วนของห้องผลิตงานที่ต้องรับผิดชอบด้านเทคนิคการผลิตโดยตรง ระหว่างขั้นตอนขึ้นโครงสร้างจำลองงานออกแบบ, การปั้น และแกะสลักไขแว็กซ์เพื่อเป็นต้นแบบหล่อแม่พิมพ์ตัวนางฟ้า และยูนิคอร์น, การตัดเจียน และเจียระไนรัตนชาติทั้งหลาย, งานประกอบชิ้นส่วน, งานฝีมือในเชิงรายละเอียดของเครื่องประดับ, งานฝังอัญมณีขึ้นตัวเรือน และงานขัดผิว ทั้งหมดต้องใช้เวลาโดยรวมแล้วเกือบ 6,400 ชั่วโมงเพื่อให้งานชิ้นนี้สัมฤทธิ์ผล ตลอดกระบวนการ ต้องอาศัยเวลากว่า 4,700 ชั่วโมงไปกับงานทำโครงสร้าง และตัวเรือนเครื่องประดับ กว่า 1,200 ชั่วโมงหมดไปกับขั้นตอนการฝังอัญมณีขึ้นตัวเรือน และการขัดผิวที่กินเวลาเกือบ 500 ชั่วโมง

ในการคลี่คลายโจทย์ท้าทายความสามารถเชิงเทคนิคต่างสาขา ทั้งในแง่ของการติดตั้ง หรือการยึดติดองค์ประกอบทั้งหลายเข้าด้วยกัน และในประเด็นของการประดิษฐ์กลไกเพื่อแปรรูป หรือดัดแปลงเครื่องประดับแต่ละชิ้นเป็นอาทิ ล้วนจำเป็นต้องอาศัยไหวพริบ และความชำนาญในส่วนของช่างฝีมือ ท่ามกลางการหลอมรวมทักษะแขนงต่างๆ เข้าด้วยกัน นำไปสู่การถือกำเนิดศิลปวัตถุซึ่งจุดประกายความสนใจ ดึงดูดทุกสายตาผู้พบเห็นให้เข้ามาใกล้เพื่อชื่นชมในทุกมวลรายละเอียด พร้อมกับได้ค้นพบบรรดาความลับที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน

THE ART OF METAMORPHOSIS
เมซงสรรค์สร้างผลงานชิ้นนี้ขึ้นจากจินตนาการอันมีต่อภาวะเปลี่ยนแปลงเชิงภูมิทัศน์ องค์ประกอบต่างๆ ในทัศนียภาพที่ปรากฏ ล้วนสามารถเคลื่อนย้ายไปจากฐานรองรับเพื่อดัดแปลง ก่อกำเนิดเป็นผลงานชิ้นใหม่ ด้วยเหตุนี้ Rocher aux merveilles จึงคู่ควรกับความหมายของ “ภูผามหัศจรรย์” อันชวนให้นึกถึงตำนานยอดเขาโอลิมปัส หรือขุนเขาหิมพานต์ ซึ่งเป็นเสมือนแดนกำเนิด และดำรงอยู่ของเครื่องประดับชั้นสูงอีกเก้าชิ้นที่สามารถแยกตัวไปใช้สวมใส่เป็นแหวน, เข็มกลัด, จี้สร้อยคอ, ต่างหู และกำไลข้อมือได้ตามปรารถนา
THE UNICORN

อาชาขาวพิสุทธิ์แห่งเทพตำนาน เป็นที่รู้จักกันในระดับสากลจากเกลียวเขาใจกลางหน้าผาก ตามที่เล่าขานกัน สัตว์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งสก็อตแลนด์นี้ เมื่อแรกเกิดจะเป็นลูกม้าขนทองก่อนผลัดขนเป็นสีเงิน และกลายเป็นสีขาวในท้ายสุด ตรงเชิงภูผาศิลามหัศจรรย์ ยูนิคอร์นทองคำขาวอยู่ในท่วงท่า อากัปย่างเหยาะไปตามพื้นปฐพีหินควอร์ตซ์ บนลำตัวฝังเพชรลูกทรงกลมในขณะที่ขนแผงคอ อาศัยเพชรทรงหยดน้ำวาววับระยับแสงแต่งเติม งานออกแบบประติมากรรมย่อส่วนชิ้นนี้ สามารถดัดแปลงไปเป็นเครื่องประดับด้วยการใช้กลไกซ่อนเพียงแค่ปลดแผ่นสีข้างออก ก็จะเผยให้เห็นตัวกลับอำนวยให้ใช้ยูนิคอร์นเพชรตัวนี้ เป็นเข็มกลัดประดับตามตำแหน่งที่ต้องการ
THE CHIMERA


ตัวเรือนทำจากทองคำขาว, ทองคำเหลือง, ไพลินหลากสี, มรกต, ทับทิม, โกเมนเขียวส่อง, มุกเลี้ยงสีขาว, เพชร
ลูกของอีคิดนา นางพญานาคีเทพีผู้ให้กำเนิดสุดยอดสัตว์ร้ายในเทพปกรณัมกรีก คิเมียราถือเป็นสัตว์อสูรซึ่งแข็งแกร่ง ดุร้าย และน่าเกรงขามอย่างที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมด ด้วยส่วนหน้าของร่างกายคือสิงโต ราชาแห่งจตุบาท ในขณะที่ส่วนกลางมีหัวแพะ ตัวแทนแห่งพญามารงอกยาวออกมา และหัวพญางูครองตำแหน่งอยู่ ณ ปลายหางที่ทอดยาว เหนืออื่นใด หัวสิงโต แพะ และงู ต่างมีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตนเอง อีกทั้งยังสามารถพ่นไฟสังหารได้ คิเมียราแห่งภูผามหัศจรรย์คู้กายอยู่บนผลึกศิลาพลอยรุ้งในท่วงท่ากางปีกอย่างงามสง่า ทวีความยิ่งยงด้วยการระดมวัตถุเลอค่าหลากชนิดมาประกอบร่วมกันในรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นทองคำขาวและทองคำเหลืองอร่าม, มรกต, ทับทิม, ไพลินหลากสี, โกเมน, มุกเลี้ยงสีขาว และเพชร ศีรษะของคิเมียราตนนี้สามารถปลดออกไปประดับบนวงกำไลทองคำขาวฝังโกเมน, ไพลิน และเพชรทั่วตัวเรือนได้
THE RING

ภายใต้สายตาพิทักษ์ของคิเมียราคือธำมรงค์หัวพลอยสองสีตามธรรมชาติ (Nature bicolore ring) ความเลอค่าตระการตา อย่างยากจะหาใดเปรียบอยู่ที่พลอยรุ้งทุรมาลีเจียระไน ทรงเหลี่ยมมรกตน้ำหนักสูงถึง 24.88 กะรัต เหลือบเรืองด้วยน้ำพลอยสองสีในเนื้อเดียวกัน ลีลาไล่แดเหลื่อมสีจากเขียวสู่ชมพูทวีความหรูหรา อัศจรรย์ด้วยงานล้อมมรกตกับไพลินสีชมพูโดยมีเพชรประดับรองรับฐานใต้พลอยหัวแหวน
THE FAIRY OSTARA

ตัวเรือนทองคำขาวกับทองคำเหลือง, โกเมนสีส้มเม็ดเดี่ยวเจียระไนทรงวงรีขนาด 5.31 กะรัตงานประดับมรกต, ไพลินสีชมพูอมม่วง, เพชร
เพื่อสืบทอดขนบธรรมเนียมในการสรรค์สร้างเครื่องประดับรูปหุ่นเรือนกายสตรีไม่ว่าจะเป็นเทพธิดา นางฟ้าหรือนางระบำปลายเท้า ซึ่งเมซงได้ให้กำเนิดขึ้นในระหว่างทศวรรษ 1940 เทพธิดา ออสตารา เทพีแห่งฤดูใบไม้ผลิ งามสง่าในท่วงท่าอารีอยู่บนแผ่นผาหิน ในฐานะสัญลักษณ์แห่งการฟื้นตื่น คืนชีพใหม่ของธรรมชาติ เจ้าของกายที่เอนพิงผาศิลาลาดชันใช้สองมือประคองโกเมนสีส้มสุกสว่างน้ำหนักถึง 5.31 กะรัต เรือนร่างอรชรถูกปั้นด้วยไขแว็กซ์ และแกะสลักอย่างละเอียดเพื่อเป็นหุ่นต้นแบบก่อนนำไปผลิตด้วยทองคำขาว ปีกทั้งสองรองรับไพลินสีชมพูอมม่วงกับเพชรต่างขนาด หลากหลายลีลาเจียระไน ในขณะที่รัดเกล้าประดับวงหน้าสะกดสายตาด้วยมรกตเจียระไนหน้าตัดนูนสูง เติมเต็มเสน่ห์แห่งความงามสง่า กลไกตัวกลัดอำนวยให้สามารถดัดแปลงเทพธิดารูปนี้ไปเป็นทั้งเข็มกลัด และจี้สร้อยคอได้
THE FLOWERS

กุหลาบชัยพฤกษ์สามดอกผลิบานในโทนสีชมพู และม่วงอย่างกลมกลืน เลอค่าสมเป็นพฤกษาแห่งภูผามหัศจรรย์ กลีบเพชรรูปทรงกราฟิกตัดกับกลีบไพลินหลากสีก่อลีลาแห่งเส้นสาย และงานไล่เฉด ส่วนใจกลางของแต่ละวงกลีบดอกสุกสกาวด้วยรัตนชาติล้ำค่าต่างชนิด นั่นก็คือไพลินสีม่วง, ทับทิม และไพลินสีน้ำเงิน ผลงานสร้างสรรค์เหล่านี้สามารถใช้เป็นเข็มกลัด จุดประกายจินตนาการถึงความสดใส มีชีวิตชีวาในธรรมชาติ อันเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ Van Cleef & Arpels อย่างต่อเนื่องมานับแต่ปี 1906
THE FAIRY AND THE CASCADE


ธารน้ำตกลดหลั่นอย่างมีชั้นเชิงนี้ ประกอบขึ้นจาก เครื่องประดับสองชิ้น ซึ่งสามารถปลดแยกออกจากกันได้ นั่นก็คือเข็มกลัดกับต่างหูหนึ่งคู่ ความงดงามของละอองน้ำที่ไหลพร่างพรูลงมาเป็นสาย ถูกจำลองแบบด้วยโครงสร้างตัวเรือนเปิดโปร่งของทองคำขาว เพื่อถ่ายทอดรายละเอียดของหยดน้ำ ที่ไหลรินลดหลั่นลงมาตามธารน้ำตกได้อย่างสมจริงนี้ อำนวยให้แสงส่องผ่านเพชร และไพลินแต่ละเม็ด ซึ่งล้วนอาศัยเทคนิคการฝังหุ้มรอบขอบ อัญมณี เพื่อทวีประกายสุกสว่าง ระยิบระยับไม่ต่างอะไรจากกระเซ็นหยาดน้ำ ต้องแสงระหว่างไหลริน ภายใต้สายตาของนางฟ้าตัวน้อยที่ทอดมองมาอย่างสงบนิ่ง
THE ROCHER AUX MERVEILLES
On the occasion of the exhibition “Pierres précieuses” (Gems) which will take place from September 16, 2020 to June 14, 2021 at Paris’ Muséum national d’Histoire naturelle (National Museum of Natural History), Van Cleef & Arpels is unveiling a unique objet,specially created for the event: the Rocher aux merveilles (Rock of marvels). Echoing the theme of the exhibition, rough stones stand alongside nine creations in a precious tableau, the fruit of human imagination and skill. Taking the form of a dreamlike landscape,inhabited by fantastic flora and fauna, this encounter between High Jewelry and mineralogy inspires a sense of surprise and wonder.
AN OBJECT
AT THE CROSSROADS
OF JEWELRY AND MINERALOGY
A steep, lapis lazuli mountain rises from a plain of blue quartz, as if in a dream.
At its feet, crouching in a forest of tourmaline crystals, a chimera of precious
stones stands guard over a treasure: a ring set with a two-colored tourmaline.
A unicorn and two fairies – the other inhabitants of this wondrous refuge – rest
among flowers, refreshed by a waterfall of diamonds and sapphires. Evoking
the setings of fairy tales and such baroque epics as Ludovico Ariosto’s Orlando
Furioso, this dreamlike landscape bridges the gap between the universe
of precious stones and the imaginary worlds that fuel Van Cleef & Arpels’
creativity.

“The Rocher aux merveilles sums up the exhibition “Gems”, with a combination of mineralogical elements and jewelry savoirfaire. These two dimensions, both fascinating in their own right,blend with the universe of the Maison to create a story suffused with enchantment.” Nicolas Bos, President and CEO of Van Cleef & Arpels.
Ever since its foundation, the Maison has been sensitive to the poetry of
wonder, expressing it in the diversity of its creations: its universe is inhabited
by fairytale fgures, fantastic beasts and luxuriant gardens, perpetuating the
art of enchantment that it holds dear. The Rocher aux merveilles echoes another object presented at the exhibition: L’Arbre aux tourmalines (Tourmaline Tree) by Jean Vendome. This stylized tree combines precious metal and slices of green and raspberry-colored tourmalines, alongside other multicolored gems. It reflects the unique and visionary style of this mineral enthusiast, who is considered a pioneer of
contemporary jewelry.

Composed of rough or polished stones and detachable jewels, this object has
been designed as a mineral sculpture, in which each self-contained element
lives in harmony with the ensemble. Van Cleef & Arpels’ design studio, stone
department and the workshops of Place Vendôme have worked hand in hand
to achieve this result.

It took nearly two years to bring the object to life, along with its nine creations.
Once the design had been chosen from among several creative propositions,
expert gemologists set off in search of precious materials that would meet the
stringent criteria of High Jewelry, for both the cut and the rough stones.
HOMAGE
TO THE BEAUTY
OF STONES

At the heart of the Rocher aux merveilles, the 6.2-kilo block of lapis lazuli
was chosen for its shape and irregular texture, which evoke the slopes of a
mountain, along with its dazzling blue color. It has been retained in its rough
state, just as nature created it, giving the object a unique quality. The 13-kilo
block of quartz on which it stands is a “semi-rough,” since it has been lightly
smoothed to provide a stable surface for the lapis lazuli.
Thirty-two tourmaline crystals — for a total of 2,171 carats — form a mineral forest: their brilliance and transparency contrast with the blocks on which they rest. Following a complex research process, the jewelers devised a method of fxing them securely to the lapis lazuli and quartz, while ensuring that each element remains intact.
The cut and polished stones that adorn the jewelry pieces have been set in different ways, including closed, semi-closed, grain, prong and serti neigestyle seting. This variety of techniques magnifes the gems, while infusing each piece with vitality and brilliance.
“We selected these roughs from among hundreds of pieces. The stones are of such high quality that we could have cut them for High Jewelry pieces. We insisted on having the same quality for the roughs as the faceted stones.” Expert gemologist from Van Cleef & Arpels

A unique object that includes numerous transformable pieces, the Rocher aux merveilles posed a real challenge for the Maison’s teams, and notably for the workshops responsible for its technical production. Between making a mockup, sculpting the fairies and unicorn in wax, recuting the stones, assembly,jewelry crafsmanship, seting and polishing, it took nearly 6,400 hours to bring this piece to fruition. The process required over 4,700 hours of jewelry work,over 1,200 hours of seting and nearly 500 hours of polishing.

Resolving the various technical challenges — fxing the elements together and creating the mechanisms to transform the pieces, for example — called for ingenuity on the part of the crafsmen. Forged by this collaborative approach, the fnished object invites the onlooker to draw closer and admire all its details and secrets.

TECHNICAL CHALLENGE,
COLLECTIVE PROJECT
Sculpting the unicorn in green wax Seting the spessatite garnet on the Fée Ostara clip
The Maison has imagined this object as a changing landscape, in whichelements can be removed from the base to take on new life. The Rocher aux merveilles thus includes nine High Jewelry creations that can respectively be worn as a ring, clips, a pendant, earrings and a bracelet.

THE ART OF METAMORPHOSIS
THE UNICORN

ใช้ไพลินต่างดวงตา
This white gold unicorn seems poised to stride across the block of quartz, its body set with round diamonds and its mane with pearshaped diamonds that gleam with an intense sparkle. Designed as a miniature sculpture, it can be transformed into a jewel using a hidden mechanism: part of its flank can be removed, revealing the fastening that enables it to be worn as a clip.
THE CHIMERA
Resting on the tourmaline crystals, the chimera spreads its wings and body in a majestic motion. The creature’s wondrous nature is emphasized by the varied materials of which it is composed (white and yellow gold, emeralds, rubies, colored sapphires, garnets, cultured pearls and diamonds). Its head can be removed to adorn a bracelet in white gold, entirely set with garnets, sapphires and diamonds.
THE RING

งานล้อมมรกต, ไพลินสีชมพู และเพชร
Beneath the chimera’s protective gaze, the Nature bicolore ring gives pride of place to an emerald-cut tourmaline weighing 24.88 carats. A two-colored center stone of great purity, it displays shades that range from green to pink. These are accentuated by the emeralds and pink sapphires that surround the stone, along with the diamonds that adorn the ring’s hoop.
THE FAIRY OSTARA

ตัวเรือนทองคำขาวกับทองคำเหลือง, โกเมนสีส้มเม็ดเดี่ยวเจียระไนทรงวงรีขนาด 5.31 กะรัตงานประดับมรกต, ไพลินสีชมพูอมม่วง, เพชร
Faithful to the tradition of feminine fgures which the Maison inaugurated in the 1940s, the fairy Ostara graces the rock with her benevolent presence. Celebrating the coming of spring and nature’s renewal, she reclines on the slopes of the rock, a bright orange
spessartite garnet weighing 5.31 carats held preciously in her hands. The fairy’s slender silhouete was sculpted in wax before being created in white gold. Wings of different-sized mauve sapphires and diamonds, in various cuts and a headdress of buff-topped emeralds give her a graceful and delicate allure. A fastening enables the fairy to be worn as both a clip and a pendant. Nature bicolore ring Yellow gold, white gold, rose gold, one emerald-cut green and pink tourmaline of 24.88 carats, emeralds, pink sapphires, diamonds Fée Ostara clip transformable into a pendant. White gold, yellow gold, one oval-cut spessartite garnet of 5.31 carats, emeralds, mauve sapphires, diamonds
THE FLOWERS
Three oleander flowers blossom in a harmony of pink and mauve tones, suggesting a precious garden. Their graphic diamond petals contrast with others adorned with colored sapphires, in an interplay of lines and shades. At the heart of each corolla gleams a different precious stone: a purple sapphire, a ruby and a blue sapphire. These creations, which can be worn as clips, evoke the vitality of nature that has inspired Van Cleef & Arpels since 1906.

ทองคำขาว, ทองคำสีเหลือง, เกสรกลางดอกทำจากทับทิมเม็ดเดี่ยวเจียระไนทรงวงรี
, กลีบดอกทำจากไพลิน และเพชร
Laurier-rose clip
- White gold, yellow gold, one oval-cut ruby of 2.45 carats
(Mozambique), pink sapphires, diamonds
- White gold, rose gold, one oval-cut violetpurple sapphire of 2.94 carats (Madagascar), pink sapphires, diamonds
- White gold, one oval-cut blue sapphire of 2.60 carats (Sri Lanka), pink and mauves sapphires, diamonds
THE FAIRY AND THE CASCADE


Two detachable creations form a glitering cascade: a clip and a pair of earrings that recreate the fluidity of water. While the openwork structure in white gold suggests the delicacy of droplets, light passes through each precious stone, set on a bezel. A miniature fairy gazes peacefully at the streams of diamonds and sapphires that flow before her eyes.
#VCAobjects #VCAhighjewelry #VanCleefArpels @vancleefarpels
#GemsExhibition #MNHN @le_museum