เปิดมุมมองคนรุ่นใหม่ “ณัฐวัฒน์ พอใช้ได้” กับชีวิตหลากบทบาท
ดีกรีไม่ธรรมดา เป็นทั้งนักกฎหมาย นักบริหารรุ่นใหม่ไฟแรง
ผู้เห็นความสำคัญจากการเรียนรู้ประวัติศาสตร์
คนรุ่นใหม่ไฟแรงมากความสามารถดีกรีไม่ธรรมดา เป็นทั้งนักกฎหมาย นักบริหาร และ ยังเป็นทายาทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่บุกเบิกมาตั้งแต่รุ่นคุณทวด ปัจจุบันเขารั้งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ของ บริษัท ณัฐพร อินเตอร์เนชั่นแนล ลอว์ ออฟฟิศ จำกัด และ บริษัท อีโคเซฟ จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจออแกไนซ์ด้านการศึกษา และยังเป็นผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร หอผู้ป่วยเฉพาะกิจ ของ “ไทยรอด ฮอสปิเทล โรงแรมพูลแมน อโศก” อีกด้วย เรียกว่าเป็นคนรุ่นใหม่เปี่ยมคุณภาพที่พร้อมทุกด้านและมีวิสัยทัศน์กว้างไกล จึงอดที่จะทำความรู้จักกับชายหนุ่มอนาคตไกลคนนี้ไม่ได้ ‘ณัฐวัฒน์ พอใช้ได้’ หรือ ‘คุณออด’ วัย 32 ปี
“คุณออด – ณัฐวัฒน์ พอใช้ได้” เล่าย้อนให้ฟังถึงการศึกษาของตนเองว่า “ผมเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี จนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ศึกษามัธยมปลายที่โรงเรียนโพธิสารพิทยากร หลังจากนั้นจึงตั้งใจที่จะให้โอกาสตัวเองในการเลือกเรียนต่อในคณะนิติศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) เพราะรู้สึกว่าภาษาอังกฤษมีความสำคัญ ต่อมาพอผมรู้ตัวเองว่ามีความสนใจในด้านการเมือง ผมจึงได้เรียนต่อปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ สาขาการจัดการการเมืองและการปกครอง ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปัจจุบันนี้เทคโนโลยีมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น ตอนนี้ผมกำลังเรียนต่อในระดับปริญญาเอก ที่วิทยาลัยการจัดการนวัตกรรมและอุตสาหกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังครับ”
นอกจากงานด้านกฎหมายแล้ว ยังมีทำงานด้านไหนอีกบ้าง
“งานด้านกฎหมายที่ทำอยู่ ถือเป็นอาชีพหลักในการดำรงชีวิตของผม แต่ขอเล่าย้อนไปสักหน่อยว่า ที่จริงแล้วครอบครัวผมไม่ได้มีใครประกอบอาชีพทางด้านกฎหมายเลย ตั้งแต่รุ่นคุณทวดท่านก็เป็นผู้บุกเบิกธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์รายแรกๆ ของไทย ที่ดินบริเวณรัชดา-ห้วยขวาง คุณทวดก็เป็นผู้พัฒนามาตั้งแต่ยังเป็นสวนผักคะน้า อาทิ หมู่บ้านชัยณรงค์ในย่านห้วยขวาง อาคารพาณิชย์ในตลาดห้วยขวาง เลยมาถึงเส้นประชา สงเคราะห์และหลักสี่พลาซ่า (ปัจจุบันได้ขายให้กับไอทีสแควร์) เป็นต้น จนมาถึงรุ่นคุณปู่ ท่านได้ขยายมาพัฒนาที่ดินย่านฝั่งธนบุรี ในชื่อหมู่บ้านชัยมงคล (บางแค/พระประแดง) หมู่บ้านสรัลพร (หนองแขม/เพชรเกษม) และยังมีที่ดินในย่านถนนกัลปพฤกษ์จำนวนมากที่ยังไม่ได้นำมาพัฒนา ซึ่งคุณพ่อผมก็เรียนจบนิติศาสตร์เช่นกัน แต่พ่อก็ได้มาช่วยงานคุณปู่ตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ ผมมีคุณพ่อ (คุณสมนึก พอใช้ได้) เป็นบุคคลต้นแบบในการดำเนินชีวิตครับ แม้ว่าผมจะได้เจอคนที่น่าทึ่งมากมายระหว่างการทํางาน ผมยังคิดว่าในความเรียบง่ายของคุณพ่อนั้นยังมีมุมที่ผมจดจํามาเรียนรู้และปรับใช้ได้เสมอครับ
ในฐานะที่ผมเป็นหลานชายคนโตและยังเป็นลูกชายคนโต ด้วยธรรมเนียมคนจีน จึงเป็นที่คาดหวังในการสืบทอดกิจการทั้งหลายของครอบครัว แต่ด้วยความเข้าใจ คุณพ่อก็เคารพการตัดสินใจของทุกคนในครอบครัวเสมอ ผมจึงได้เลือกเส้นทางเดินของตัวเอง ทั้งเรื่องการเรียนและการประกอบอาชีพ แม้บางครั้งผมจะถูกร้องขอให้ไปช่วยตรวจสอบที่ดินตามที่ต่างๆ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่หน้าที่หลักในความรับผิดชอบ ผมจึงเริ่มฝึกวิชาทนายความที่ บริษัท มารุต บุนนาค อินเตอร์เนชั่นแนล ลอว์ ออฟฟิศ จำกัด ซึ่งพูดได้เต็มปากเลยว่า ผมคือศิษย์เอกรุ่นสุดท้ายของ ศาสตราจารย์มารุต บุนนาค ในวัย 97 ปี เจ้าของสำนักงาน ซึ่งเป็นอดีตประธานรัฐสภา และอดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง จึงทำให้ผมได้ซึมซับความรู้ทางกฎหมาย และศิลปะทางการเมืองจากอาจารย์มารุตได้เป็นอย่างดี

เมื่อมีชั่วโมงบินมากพอ อาจารย์มารุตก็แนะนำให้ผมเปิดบริษัทกฎหมายของตัวเองในชื่อ บริษัท ณัฐพร อินเตอร์เนชั่นแนล ลอว์ ออฟฟิศ จำกัด ในปี 2557 และเริ่มรับงานคดีจากพรรคพวกเพื่อนฝูงที่เป็นผู้บริหารจากบริษัทชั้นนำต่างๆ เรื่อยมา จนปัจจุบันเรามีลูกความไม่น้อยกว่า 100 ราย ทั้งในคดีแพ่งและคดีอาญา สิ่งที่ทำให้บริษัทเราแตกต่างจากที่อื่นก็คือ เรามีทีมงานที่ปรึกษา ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านคอยให้คำปรึกษา ความเห็น และแนะนำเทคนิคในแต่ละเรื่องที่ละเอียดซับซ้อนได้เป็นอย่างดี ทำให้เรามีฐานลูกความเป็นนักธุรกิจและนักการเมืองจำนวนมาก
ต่อมาผมกับเพื่อน (คุณอมาวรินทร์ อินทรีย์สุข) ได้ร่วมกันก่อตั้ง บริษัท อีโคเซฟ จำกัด ขึ้นเมื่อปี 2560 เพื่อทำธุรกิจออแกไนซ์งานด้านการศึกษา เช่น เป็นผู้จัดงานมหกรรมทางการศึกษา EduLife 2018 และ เรายังเป็นผู้จัดอบรมหลักสูตรผู้บริหารระดับสูง Oxford Programme On Negotiation in Bangkok 2019 จากอ๊อกฟอร์ด โดยได้มีการทำบันทึกข้อตกลงร่วมกับ Tim Cullen MBE ผู้ก่อตั้ง The Oxford Programme on Negotiation ซึ่งถือเป็นหลักสูตรที่แพงที่สุดในประเทศไทย และใช้เวลาอบรมเพียง 5 วัน โดยอาจารย์และทีมงาน ที่มาจากมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ดทั้งหมด
ในส่วนของงานอื่นๆ ตอนนี้ผมเริ่มทำ ‘ไทยรอด ฮอสปิเทล โรงแรมพูลแมน อโศก’ ซึ่งเป็นหอผู้ป่วยเฉพาะกิจที่เราได้ร่วมมือกับ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รัตนาธิเบศร์ อินเตอร์เนชันแนล ซึ่งเป็นสิ่งที่ใหม่มาก เพราะว่า 1.ฮอสปิเทล ก่อนมีโควิด-19 ไม่ใช่สิ่งที่แพร่หลายในไทย ดังนั้น จึงไม่มีสูตรสำเร็จให้ผมได้เรียนรู้ แต่สิ่งนี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจที่อยากให้ผู้ป่วยมีที่พัก ตอนนี้ความท้าทายก็คือการทำฮอสปิเทลยังไงให้คนที่ป่วยสามารถเข้าถึงการตรวจหรือการรักษาได้ โดยที่ผมเป็นอีกหนึ่งช่องทางของการช่วยหยุดกระจายของโรคระบาดนี้ สุดท้ายแล้วพอมันหยุดแพร่กระจายได้ดี ชุมชนก็จะกลับมาดี สังคมก็จะกลับมาดีขึ้น มันจึงเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับผม เพราะผมเองก็กำลังเรียนรู้กับเรื่องนี้อยู่ครับ”
ทราบมาว่าผ่านการอบรมหลักสูตรต่างๆ มากมาย ได้ความรู้และประสบการณ์อย่างไรบ้าง
“การได้อบรมหลักสูตรต่างๆ ก็เหมือนเป็นการติดอาวุธทางปัญญาอีกทางหนึ่ง ผมขอพูดถึงแค่บางหลักสูตรนะครับ อย่างหลักสูตรแรกที่มีโอกาสเข้าไปอบรมก็คือ หลักสูตรประกาศนียบัตร ผู้นำยุคใหม่ในระบอบประชาธิปไตย (ปนป.) รุ่นที่ 2 จัดอบรมโดยสถาบันพระปกเกล้า เมื่อผมมีความสนใจในงานการเมือง ความรู้ที่ได้จากการอบรมก็ทำให้ผมรู้จักคำว่า ผู้นำ หรือผู้บริหารรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญที่จะเป็นผู้สนับสนุนบทบาททางการเมือง ขณะที่สภาพสังคมปัจจุบันมีขนาดใหญ่ หลากหลาย ซับซ้อน และเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก การอบรมครั้งนี้จึงทำให้ได้รับประสบการณ์ตรงจาเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ต่างก็มาจากผู้นำจากภาคการเมือง ภาคราชการ และภาคเอกชนรุ่นใหม่มากมายเลยครับ
นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรการบริหารงานยุติธรรมระดับสูง (ยธส.) รุ่นที่ 12 จัดโดยวิทยาลัยกิจการยุติธรรม และหลักสูตรกลยุทธ์การบริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (RE-CU JUNIOR) รุ่นที่ 6 จัดอบรมโดยสมาคมผู้บริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น”
หนังสือเล่มโปรดที่คุณชอบอ่านคืออะไร
ผมชอบอ่านหนังสือ Biography การได้อ่านชีวประวัติ ทำให้เราได้เรียนรู้คนอีกแบบหนึ่ง บางคนเราไม่ได้มีโอกาสพบเจอ หรือไม่สามารถพบเจอเขาได้แล้ว แต่เราก็ได้รู้จักเขาผ่านตัวหนังสือ ได้รู้ความคิดเขา และที่สำคัญที่สุดคือได้รู้วาระสุดท้ายของเขา
ยกตัวอย่างหนังสือเล่มโปรด คุณได้ข้อคิดอะไรจากการอ่าน
ผมขอยกตัวอย่างหนังสือเล่มโปรดที่เป็นฝั่งเอเชียหน่อยละกันนะครับ การรู้ประวัติศาสตร์บุคคลสำคัญของประเทศจีน ทำให้เราเข้าใจความทุกข์ระทมขมขื่นของคนจีน เข้าใจพรรคคอมมิวนิสต์จีน เข้าใจความเป็นมาของจีน และเข้าใจประเทศจีน
จาก จิ๋นซี ฮ่องเต้ สู่ พระนางซูสี ไทเฮา จาก พระนางซูสี ไทเฮา สู่ ด๊อกเตอร์ซุน จงซาน จาก ด๊อกเตอร์ซุน จงซาน สู่ จอมพล เจียง ไคเช็ค จากจอมพล เจียง ไคเช็ค สู่ เหมา เจ๋อตง จาก เหมา เจ๋อตง-โจว เอินไหล สู่ เติ้ง เสี่ยวผิง จาก เติ้ง เสี่ยวผิง สู่ เจียง เจ๋อหมิน-หู จิ่นเทา จาก หู จิ่นเทา สู่ สี จิ้นผิง
ความผิดพลาด-ล้มเหลวจากราชวงศ์ฉิน ถึงราชวงศ์ชิง ส่งให้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราษฎร์ล่มสลาย ความผิดพลาดของจอมพลเจียงไคเช็ค ส่งผลให้ประชาชนจีนไม่ยอมรับ และพ่ายแพ้สงคราม กลางเมือง ให้กับพรรคคอมมิวนิสต์จีน ความผิดพลาดของเหมา เจ๋อตงต่อนโยบายก้าวกระโดด และการปฏิวัติวัฒนธรรม
ผู้ที่จะไม่ยอมรับความผิดพลาดตลอดประวัติศาสตร์ชาติจีน 5,000 ปี คือ เติ้ง เสี่ยวผิง
เติ้ง เสี่ยวผิง คือมนุษย์ผู้ที่สวรรค์ส่งลงมา สร้างประชาชาติจีนใหม่ให้เจริญรุ่งเรืองอย่างพลิกฟ้า คว่ำแผ่นดิน เติ้ง เสี่ยวผิง ผู้กล้าตัดสินใจในฉับพลันทันทีที่ดำเนินการกวาดล้างผู้ชุมนุมก่อความไม่สงบ ณ จตุรัสเทียนอันเหมิน ยอมสละ หนึ่งแสนชีวิตเพื่อให้ประเทศชาติ และประชาชน หนึ่งพันล้านคนดำรงอยู่ได้ประเทศชาติไม่แตกสลาย
เติ้ง เสี่ยวผิง ผู้เป็นไข่ในหินของเหล่าผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์รุ่นแรกปกป้องจนรอดพ้นภัยแห่งการปฏิวัติ วัฒนธรรมสามารถนำนโยบาย 4 ทันสมัย และปฏิรูป-เปิดประเทศมาใช้ได้สำเร็จ จากการลักลอบวางพิมพ์เขียวอย่างลับสุดยอดระหว่างนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล ประธานาธิบดีหลิว ส้าวฉี และ เติ้ง เสี่ยวผิง
เติ้ง เสี่ยวผิง รอดตายจากการถูกรุมทำร้ายของพวกเยาวชนเรดการ์ด เติ้ง เสี่ยวผิงถูกจอมพลเย่ เจี้ยนอิง (ยับ เกี้ยนยิน-ฮากกา) อุ้มไปหลบภัยในกว่างโจว จากนั้นยึดอำนาจจากแก๊งสี่คนได้สำเร็จ เรียกเติ้ง เสี่ยวผิงมาปักกิ่ง เพื่อเป็นผู้นำสูงสุด
เติ้ง เสี่ยวผิงบริหารประเทศจีนจนสำเร็จ พลิกฟ้า-คว่ำแผ่นดินเนรมิตเมืองใหม่อย่างหมู่บ้านเซินเจิ้น จนเจริญรุ่งเรืองกลายเป็นมหานครเซินเจิ้นได้ภายในระยะเวลาเพียง ๔๐ ปี
เติ้ง เสี่ยวผิงมองหาคนหนุ่มรุ่นถัดไปเพื่อมารับไม้บริหารประเทศชาติต่อไปโดยมีโจทย์ว่า “ห้ามผิดพลาด อย่างเด็ดขาด” เติ้ง เสี่ยวผิงค้นพบดาวรุ่ง ผู้ว่าการมหานครเซี่ยงไฮ้ ที่มีนามว่า “เจียง เจ๋อหมิน” เติ้ง เสี่ยวผิง ถึงแก่อสัญกรรม เจียง เจ๋อหมิน ก็ขึ้นเป็นผู้นำสูงสุด เจียง เจ๋อหมินบริหารประเทศกำหนดวาระให้ผู้นำสูงสุดที่ตำแหน่งประธานาธิบดีในฝ่ายบริหาร และเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนฝ่ายนโยบายไว้ที่ 2 สมัย รวม 8 ปี
เจียง เจ๋อหมิน มองหาคนหนุ่มรุ่นใหม่ขึ้นมาแทนที่ตัวเอง เจียง เจ๋อหมินพบเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำเขตปกครองตนเองธิเบตผู้มีนามว่า “หู จิ่นเทา” เจียง เจ๋อหมิน บริหารประเทศครบวาระ 8 ปี หู จิ่นเทา ขึ้นมาเป็นผู้นำสูงสุด หู จิ่นเทา บริหารประเทศตามแนวทางของเติ้ง เสี่ยวผิง และเจียง เจ๋อหมิน
ยุคของหู จิ่นเทา ความเจริญทางเศรษฐกิจของจีนรุ่งเรืองยิ่งขึ้นด้วยทีมเศรษฐกิจชนิดเทียบเท่าพระเจ้าซาร์ เศรษฐกิจของหู จิ่นเทา มี หลี่ เผิงเป็นครูใหญ่ ตามด้วยจูหรงจี มาดามอู๋อี๋ และ เวิน เจียเป่า
หู จิ่นเทา มองหาคนหนุ่มรุ่นใหม่มาแทนที่ตัวเอง พบกับดาวรุ่งเลือดเนื้อเชื้อไขของแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์รุ่นแรกนามว่า สี จิ้นผิง หู จิ่นเทา มั่นใจ สี จิ้นผิง หู จิ่นเทา พ้นวาระ จึงส่งไม้ต่อให้ สี จิ้นผิง
นับจากสี จิ้นผิง-หูจิ่นเทา และแกนนำพรรคฯ ตั้งแต่เจียง เจ๋อหมิน ลงมาได้ตกลงกันว่าจะสนับสนุนให้ สี จิ้นผิง ผงาดเป็นผู้นำสูงสุดของชาติจีน อย่างไม่มีกำหนดระยะเวลาเพื่อให้ สี จิ้นผิง สร้างชาติจีนไว้ยันสหรัฐอเมริกา สี จิ้นผิง พัฒนาจีนได้อย่างเจริญก้าวหน้าไม่ต่างจาก เติ้ง เสี่ยวผิง และต้องใช้กลยุทธ์-กุศโลบายในการแก้ปัญหาการเมืองระหว่างประเทศในยุคสงครามเย็นครั้งที่ 2 ของโลกปัจจุบัน ทุกอย่างได้บอกเล่าเรื่องราวในตัวมันเอง อย่างที่ผมได้เคยพูดถึงแล้วว่า คนรุ่นใหม่มีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ ประวัติศาสตร์บอกอะไรเรามากมาย แต่ตัวเราเอง เปิดใจที่จะยอมรับ และรับรู้มันหรือไม่เท่านั้นเอง
จากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมามีเคสไหนที่ประทับใจ
ด้วยมารยาทในวิชาชีพ ผมไม่สามารถนำเรื่องนี้มาแชร์ได้ แต่สิ่งที่ผมสามารถนำมาแชร์ได้ก็คือ สิ่งที่ทำให้ประทับใจในอาชีพนี้คือ การได้เห็นลูกความมีความสุข
บทบาทของการเป็นอาจารย์ด้านกฎหมายที่ต้องสอนเด็ก หรือเยาวชนในยุคนี้ให้ฟังหน่อย ว่ามีอุปสรรคหรือไม่
น้อง และเยาวชนยุคนี้ เขามีความเป็น Global Native สูงมาก น้องเป็นรุ่นที่เห็นเยอะ เห็นโลกกว้าง เข้าใจสิ่งต่างๆของโลกใบนี้มาก ดังนั้น การที่เป็นอาจารย์ไปพบเจอน้องรุ่นนี้มาก ทั้งๆที่ตัวเองเองก็มีอายุห่างจากน้องๆไม่มากนัก มันทำให้เราเห็นได้มากเหมือนกัน เราได้เรียนรู้จากการไปสอนเขา พอๆกับที่เราหวังว่าน้องเขาได้จากที่เราไปสอน ได้เห็นความคิดของน้องๆสมัยนี้กล้าที่จะแสดงความคิดเห็น หรือมีการโต้ตอบทันที ไม่ได้มองว่าเป็นอุปสรรคอะไรเลย แต่ผมกลับรู้สึกขอบคุณทุกครั้งที่ได้มีโอกาสไปเจอน้อง ไปสอน ในขณะที่น้องได้วิชาจากผม ผมก็ได้มุมมองใหม่ๆจากการเจอคนมากๆเหมือนกัน
ในฐานะที่เป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ อยากเห็นประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปในด้านใด
เป็นคําถามที่ตอบยากมาก เพราะมีหลายประเด็นที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จริงๆ แล้วผมเองก็ไม่ใช่คนรุ่นใหม่ขนาดนั้นแล้ว มีรุ่นน้อง มีเพื่อนที่มีลูก ก็เรียกว่าผมมีหลานได้แล้ว พอมองไปที่น้องๆ หลานๆ ก็คิดแต่ว่าอยากให้ประเทศไทยเป็นบ้านที่ปลอดภัย มั่นคง ยั่งยืน สําหรับพวกเขาที่จะมีโอกาส มีเสรีภาพ มีสภาพแวดล้อมที่ดีให้เติบโตได้อย่างสมบูรณ์และมีความสุข ผมอยากเห็นประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบนั้นครับ
คิดว่างานทุกอย่างที่ทำมาหลากหลายบทบาทในวัย 32 ปีนี้ ครบถ้วนในสิ่งที่อยากทำแล้วหรือยัง มีงานไหนที่อยากลองทำอีกบ้าง
“ถึงแม้ว่าจะได้ทำงานมาหลากหลายมาก แต่ก็ยังไม่ครบถ้วนในสิ่งที่อยากทำครับ จริงๆ แล้วรู้สึกว่าอยากลองทำงานสายการเมืองดูบ้าง ผมอยากมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ ตอนนี้ผมก็พยายามทำงานหลายๆ ส่วนที่จะช่วยให้ปัญหาต่างๆ ในประเทศเบาลง เช่น ฮอสปิเทล เป็นต้น พอได้ทำแล้วก็เลยรู้สึกว่า ถ้าผมได้มีส่วนร่วมในด้านการเมืองก็คงน่าจะมีโอกาสทำสิ่งเหล่านี้ได้เต็มที่มากขึ้น อีกทั้งเป็นช่วงอายุที่พร้อมแล้วสำหรับงานการเมือง ผมมีทั้งความรู้ และความตั้งใจ จึงอยากลองดูว่าถ้าผมได้โอกาสในการทำงานด้านการเมือง ผมจะทำได้อย่างที่คิดไว้ไหม”
ฝากติดตามและเป็นกำลังใจดี ๆ ให้ คุณณัฐวัฒน์ พอใช้ได้ : นักกฎหมายและนักบริหารรุ่นใหม่อนาคตไกล ได้ตามช่องทางด้านล่างนี้
- FACEBOOK : https://www.facebook.com/natthawat.porchaidai
- INSTRAGRAM : https://www.instagram.com/oody55/
- TWITTER : https://twitter.com/natthawatoody